การตลาด - วิเคราะห์ ทำไมทรูวิชั่นส์พร้อมทุ่มงบกว่า 8,000 ล้านบาท เพื่อยึดพรีเมียร์ลีกไว้แนบอก หลังเทคโนโลยีมาแรง พฤติกรรมผู้ชมเอาใจยาก คู่แข่งรุมทึ้งรอบด้าน นาทีนี้คอนเท้นท์เอ็กซ์คลูซีฟ-เฟิร์สรัน อนาคตเพย์ทีวี ล่าสุดใช้เวลาเพียง 3เดือนซิวคว้าสิทธิ์ถ่ายสด พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3 ฤดูกาล 2019/20 - 2021/22 แบบออลไรท์ พร้อมเจรจาแบบด่วนจี๋เลือกพีพีทีวี เป็นฟรีทีวีร่วมถ่ายสด26-30คู่ เต็มโควต้า เชื่อจบเกมส์ปีนี้ ทรูวิชั่นส์ลุ้นโตไม่ต่ำกว่า 10% จากรายได้ 13,300 ล้านบาทปีก่อน
เป็นไปตามคาด ที่ทางทรูวิชั่นส์ได้คว้าลิขสิทธิ์ การถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3ฤดูกาล 2019/20 - 2021/22 แบบออลไรท์ ไปแทนเฟซบุค ซึ่งใช้เวลาเพียง 3เดือน นับตั้งแต่เฟซบุคทำดิวนี้หลุดมือไปเมื่อต้นเดือนมี.คที่ผ่านมา และทางทรูวิชั่นส์ได้สิทธิ์นี้ไปแทนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 มิ.ย ที่ผ่านมา ซึ่งแตกต่างจากทางเฟซบุคที่เจรจากับทางต้นสังกัดพรีเมียร์ลีกมาเป็นปีๆ กับเม็ดเงินในการซื้อลิขสิทธิ์ครั้งนั้น ที่ว่ากันว่าสูงถึง 200 ล้านปอนด์ หรือราว 8,800ล้านบาท กับอัตราแลกเปลี่ยน ณ.เวลานั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่กระบวนการ เพื่อค้นหาผู้ได้ลิขสิทธิ์รายใหม่แทน กลับพบว่า เวลากลายมาเป็นเงื่อนไขสำคัญ เพราะกระชั้นชิดเกินไป กับเวลาเพียง 5เดือน นับจากต้นเดือนมี.คที่ผ่านมา ก่อนถึงช่วงการแข่งขันฤดูกาลใหม่ 2019/20 ในเดือนส.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งในความเป็นจริง เวลาเพียงแค่นี้ไม่เพียงพอในการทำการตลาด เวลาจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เชื่อได้ว่า มูลค่าที่ทางทรูวิชั่นส์ได้ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ครั้งนี้จะถูกลงกว่าเดิม แต่อาจจะไม่มากนัก โดยจะต้องเป็นราคา ที่อยู่บนพื้นฐานกลไกราคาลิขสิทธิ์ของพรีเมียร์ลีกด้วย
จากเงื่อนไขของเวลานี่เอง ส่งผลให้ทรูวิชั่นส์มีทางเลือกในมือไม่มากนัก ในการบริหารจัดการลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกที่ได้มา ซึ่งจะต้องทำให้คุ้มค่ามากที่สุด ส่งผลให้ทรูวิชั่นส์พร้อมเจรจาและเลือกให้ช่องฟรีทีวี คือช่อง PPTV ร่วมถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทั้ง 3ฤดูกาล ตั้งแต่ ปี2019/20 - 2021/22 โดยที่ดิวนี้ พบว่า ได้มีการเจรจาจบอย่างไม่เป็นทางการช่วงเวลาเดียว กับที่ทรูวิชั่นส์ได้สิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป เบื้องต้นช่อง PPTV จะได้สิทธิ์ร่วมถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกที่ 26แมทช์ต่อฤดูกาล เท่ากับที่เคยได้สิทธิ์มาในครั้งก่อน เงื่อนไขนี้ เป็นไปตามต้นสังกัดพรีเมียร์ลีก ที่ต้องการให้ฟรีทีวีร่วมถ่ายทอดสดไม่เกิน 30แมทช์ต่อฤดูกาล
ทั้งนี้จากเดิมที่มองกันไว้ว่า ถ้าทรูวิชั่นส์ได้สิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป ช่องทรู4U ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกัน จะเป็นช่องฟรีทีวีที่จะได้ร่วมถ่ายทอดสดอย่างแน่นอน แต่กลายเป็นว่า ทรูวิชั่นส์ยอมขายสิทธิ์นี้ให้กับทางช่อง PPTV ไปทั้งหมดแต่เพียงช่องเดียว นี่จึงอาจเป็นอีก1วิธีที่จะช่วยให้ทรูวิชั่นส์คุ้มทุนกับการซื้อลิขสิทธิ์ในครั้งนี้ได้ดีกว่าการให้สิทธิ์ร่วมถ่ายทอดสดกับช่องในเครือตัวเอง แต่ใครจะรู้ สุดท้ายแล้ว ช่องทรู4U อาจจะได้ร่วมถ่ายทอดสดในบางคู่ที่เป็นคู่สำคัญที่แข่งในเวลาเดียวกันกับที่ทางช่อง PPTV ถ่ายทอดสดก็เป็นไปได้
และสำหรับช่องPPTVที่ได้สิทธิ์ร่วมถ่ายทอดสดครั้งนี้ ก็ต้องทำการตลาดหาสปอนเซอร์เช่นเดียวกัน ซึ่งอาจจะเป็นลูกค้ารายเดิมที่เคยตกลงกันไว้ในครั้งก่อน กับ3ฤดูกาล 2016/17-2018/19 ที่ผ่านมา กับสปอนเซอร์ทั้งหมด 8 ราย คือ วาสลีน เมน, เคลียร์ เมน, การ์นิเย่ เมน, ไทยนครพัฒนา, โตโยต้า อัลติส, แว็กซี่, มิซูบิชิ ออลนิว ปาเจโร่ และเอไอเอส แบ่งเป็นเมนสปอนเซอร์ 5 ราย ราคาแพกเกจละ 20 ล้านบาท และสปอนเซอร์รองอีก 3 ราย แพกเกจละ 10-15 ล้านบาท และในครั้งนี้เชื่อว่าช่อง PPTV จะมีรายได้จากสปอนเซอร์ใกล้เคียงกันที่ 150-200ล้านบาท
ส่วนทรูวิชั่นส์เอง กับเวลาเหลือไม่ถึง 2เดือนระหว่างนี้ จะต้องเร่งทำงานอย่างเต็มที่ในการบริหารสิทธิ์พรีเมียร์ลีกที่ได้มา ไม่ว่าจะเป็นการหาสปอนเซอร์ รวมถึงอาจจะมีแพกเก็จการรับชมพรีเมียร์ลีกใหม่ๆออกมาเพิ่มเติม ไม่ว่าเป็นบนแพลทฟอร์มทรูวิชั่นส์ หรือกับทาง ทรูไอดี เป็นต้น
ทำไมทรูวิชั่นส์ต้องทุ่มซื้อพรีเมียร์ลีก?
ตลอด 20ปีที่ผ่านมา ทรูวิชั่นส์เป็นที่รู้จักและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจเพย์ทีวีได้นั้น มาจากการนำเสนอคอนเท้นท์เอ็กซ์คลูซีฟระดับโลก ที่ไม่สามารถหาชมได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็น คอนเท้นท์กีฬา ซีรีส์ ภาพยนตร์ การ์ตูน และสารคดี มาพร้อมกับภาพและเสียงที่คมชัด สำคัญที่สุดคือไม่มีโฆษณา โดยเฉพาะคอนเท้นท์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ถือเป็นคอนเท้นท์ที่มีราคาแพงที่สุด และสมกับเป็นคอนเท้นท์เบอร์หนึ่ง ที่ทำให้ทรูวิชั่นส์มีฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นทุกปี นี่จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมทรูวิชั่นส์ต้องทุ่มทุนซื้อพรีเมียร์ลีกมาครอบครองให้ได้
แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้น ปัจจุบันธุรกิจเพย์ทีวีไม่ได้สดใสอย่างที่ผ่านมา จากเดิมที่ไม่มีคู่แข่ง ไม่มีปัจจัยลบรุมเร้า ตอนนี้กลับหืดขึ้นคอ หลังการมาของเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น โลกออนไลน์เข้าถึงชีวิตประจำวันของผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ก่อให้เกิดบริการคอนเท้นท์ให้รับชมหลากหลายแพลทฟอร์ม ผู้ชมเข้าถึงคอนเท้นท์ได้ง่ายขึ้น และมีทางเลือกในการรับชมมากขึ้น ที่สำคัญคือ ดูฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งถูกจริตคนไทย เพราะชินกับการดูฟรี ไม่ว่าจะเป็น ไลน์ทีวี ยูทูป หรือแพลทฟอร์ม OTT อย่าง ไอฟลิกซ์ เน็ตฟลิกซ์ เป็นต้น เพย์ทีวีจึงไม่ใช่คำตอบแรกในการรับชมคอนเท้นท์คุณภาพอีกต่อไป
เอ็กซ์คลูซีฟ-เฟิร์สรัน อนาคตเพย์ทีวี
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่ารูปแบบการให้บริการคอนเท้นท์บนแพลทฟอร์มต่างๆ เมื่อเทียบกับเพย์ทีวีอย่างทรูวิชั่นส์แล้ว ไม่ได้แตกต่างกัน เพราะส่วนใหญ่จัดเป็นคอนเท้นท์รีรัน ที่ผู้ชมสามารถจะเลือกชมทีหลังเวลาใดก็ได้ ขณะที่คู่แข่งให้ดูฟรี แต่ทรูวิชั่นส์ต้องเสียเงินดู ส่งผลให้ทรูวิชั่นส์ในวันนี้จะต้องปรับตัวอย่างมาก โดยเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใน 3ส่วนหลัก คือ
1.คอนเท้นท์เอ็กซ์คลูซีฟ-เฟิร์สรัน ถือเป็นกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนเพย์ทีวีอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมทรูวิชั่นส์จึงพร้อมทุ่มงบเกือบ 8,000 ล้านบาท ในการคว้าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3 ฤดูกาลล่าสุดครั้งนี้มาครอง เพราะพรีเมียร์ลีกมีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการเป็นคอนเท้นท์เอ็กซ์คลูซีฟ หมายถึงคนไทยจะดูได้ครบทุกแมทช์ตลอดฤดูกาลที่ทางทรูวิชั่นส์ช่องทางเดียวเท่านั้น และความเป็นเฟิร์สรัน คือ เป็นการถ่ายทอดสด ซึ่งพรีเมียร์ลีกเป็นคอนเท้นท์ที่จะดูสดเท่านั้นถึงจะได้อรรถรสมากสุด ถึงแม้จะมีราคาสูงแต่ก็คุ้มที่ต้องจ่าย
นอกจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษแล้ว ทรูวิชั่นส์ยังมีการถ่ายทอดสดกีฬาอื่นๆที่คนไทยสนใจและสามารถรับชมได้เฉพาะที่ทรูวิชั่นส์เท่านั้น เช่น ไทยลีก และไม่ใช่มีเพียงแต่คอนเท้นท์กีฬา ยังรวมถึงซีรีส์ ภาพยนตร์ วาไรตี้ ที่ทางกลุ่มทรูเองกำลังลงทุนผลิตขึ้นมา รวมถึงมองหาช่องทีวีใหม่ๆที่มีคอนเท้นท์เอ็กซ์คลูซีฟแบบเฟิร์สรันเข้ามาเพิ่มในแพลตฟอร์มทรูวิชั่นส์มากขึ้น จากที่แต่ละปีทรูวิชั่นส์จะใช้งบราว 1,000-1,500 ล้านบาท ในการลงทุนและซื้อคอนเท้นท์ และก่อนหน้าที่จะเสียพรีเมียร์ลีกให้CTHไป เคยใช้งบมากกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี
2.แพกเกจการรับชมที่หลากหลายขึ้น การสร้างแพกเกจใหม่ๆเจาะฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ จะช่วยให้ทรูวิชั่นส์มีฐานสมาชิกและรายได้เพิ่มขึ้น จากข้อมูลอัพเดท ล่าสุดในเดือน มิถุนายน 2562 พบว่า ทรูวิชั่นส์มีแพกเกจรับชมกว่า 10 แพกเกจ คือ 1. Platinum HDแพกเกจ 2.Gold HD แพกเกจ 3.Super Family แพกเกจ 4.Sports Family แพกเกจ 5.Smart Family แพกเกจ 6.Happy Family HD แพกเกจ 7.แพกเกจเสริม Super Soccer Pack 8.Hotel Plus แพกเกจ 9.Enjoy Pack และ10.Basic HD (ที่มา : http://www.truevisions.info/ช่องรายการทรู)
3.บริการใหม่ๆ ต่อยอดสร้างรายได้ ซึ่งทางทรูวิชั่นส์เล็งเห็นโอกาสในการเติบโตจาก OTT และดิจิทัลแพลตฟอร์ม “ทรูไอดี”ด้วยบริการอินเตอร์แอคทีฟและการสร้างรายได้จากคอนเทนต์ อีกทั้งยังมองโอกาสการเติบโตจากธุรกิจผลิตคอนเทนต์สนับสนุนผู้ผลิตคอนเทนต์ระดับโลก เพื่อรองรับทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ และยังเพิ่มโอกาสในการเติบโตของรายได้ให้กับทรูวิชั่นส์
การสร้างโอกาสและเน้นกลยุทธ์คอนเท้นท์เอ็กซ์คลูซีฟ-เฟิร์สรัน กับการได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3 ฤดูกาลครั้งใหม่นี้ คาดการณ์ว่า ถึงสิ้นปีนี้ ทรูวิชั่นส์ น่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% จากที่บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้รายงานว่า สิ้นปี2561 ทรูวิชั่นส์ มีรายได้ 13,300 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้า 8.7% และมีฐานสมาชิกรวมกว่า 4.1ล้านราย การเติบโตนี้ส่วนใหญ่เป็นผลจากรายได้ของธุรกิจบันเทิง รวมถึงการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งไม่เพียงเพิ่มรายได้ แต่ยังส่งผลให้ฐานผู้ใช้แอพลิเคชั่นทรูไอดีเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ
สอดคล้องกับการคาดการณ์ถึงอนาคตของเพย์ทีวีที่จะก้าวต่อไปนั้น ต้องพึ่งพาคอนเท้นท์เอ็กซ์คลูซีฟและเฟิร์สรันเป็นสำคัญ.