หลายปีที่ผ่านมาพบว่าบริษัทน้อยใหญ่ต่างเบนเข็มสู่ธุรกิจพลังงานมากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานทดแทน ที่รัฐออกมาตรการมาสนับสนุนผู้ลงทุน ขณะที่บางบริษัทก็หาทางสร้างรายได้จากการหันไปลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพื่อให้อยู่รอด บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TWZ คืออีกหนึ่งบริษัทที่รุกในอีกหลายธุรกิจ ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และพลังานคือเป้าหมายหลักที่กำลังลุยเต็มพิกัด แม้ว่าปัจจุบันยังมีรายได้หลักจากโทรคมนาคม แต่ก็ไม่วายหืดขึ้นคอ เพราะเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นต่ำ และยังต้องแข่งขันสูงกับแบรนด์คู่แข่งรายใหญ่จากจีนที่พัฒนาสินค้าจาก เฮ้าส์แบรนด์ เป็นโกลบอล แบรนด์ การกระจายลงทุนใน 3 ธุรกิจ จึงเป็นกลยุทธ์ที่จะการันตีความเสี่ยง
สำหรับปัจจุบัน TWZ ยังคงพึ่งพารายได้หลักกว่า 90% จากธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งถึงแม้จะปิดยอดขายกว่า 3,520.82 ล้านบาทในปี 2561 และ 869.95 ล้านบาทในไตรมาส 1 / 2562 แต่กลับพบว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นต่ำ เนื่องจากเป็นสินค้าที่เน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายกำลังซื้อระดับกลางและระดับล่าง
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ต่อเนื่องและรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ส่งผลทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจค่อนข้างมาก เช่นหากแบรนด์สินค้าในกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน หรือ เฮ้าส์แบรนด์ ที่มีการยกเลิกการทำตลาด ในอดีตอีกทั้งปรับลดราคาสินค้าที่จำหน่าย ทำให้เกิดกระแสการถล่มราคา เพื่อเคลียร์สินค้าในสต๊อก แม้ว่าแบรนด์สินค้า TWZ ที่จำหน่ายในท้องตลาด จะมีราคาถูกกว่าสินค้าในกลุ่มตลาดระดับล่างมากถึง 30% แต่ก็ยังต้องแข่งขันกับแบรนด์สินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดในประเทศไทย และ หากมองในส่วนของมาร์จิ้นจะอยู่ที่ 5-10% และ เน็ตมาร์จิ้นด้วยแล้วจะเหลือเพีย 3-5% เท่านั้น
ขณะที่ธุรกิจพลังงานนั้น TWZ ขายโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มออกไป เพราะต้องการเงินไปลงทุนในธุรกิจพลังงานประเภทอื่น เนื่องจากว่ากำไรที่ได้กลับมานั้นอยู่ในอัตราคงที่ ไม่มีโอกาสเพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าเทคโนโลยีใหม่ๆที่เกิดขึ้นจะทำให้ต้นทุนถูกลง แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากภาระค่าซ่อมบำรุงในการเปลี่ยนแผงเซลส์รับพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งหากเทียบกับโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมที่มีรายได้จากการรับจ้างกำจัดขยะ และราคารับซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าที่สูงกว่ามาก โดยโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมจะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้มากกว่า เพราะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และผลตอบแทนของโครงการ (Project IRR) โรงไฟฟ้าขยะอยู่ที่ 18-20% ซึ่ง โรงไฟฟ้าพลังงานขยะอุตสาหกรรมจะเริ่มการขายไฟฟ้าได้เร็วสุดปลายปี 2562 นี้
ปัจจัยบวกนอกจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรมแล้ว TWZ ยังจะมีรายได้จากโรงงานคัดแยกขยะและรายได้จากการกำจัดขยะมีพิษและขยะอุตสาหกรรมเข้ามาอีก เนื่องจากโรงผลิตไฟฟ้านี้ใช้เทคโนโลยีพลาสม่า ที่ใช้ในโรงไฟฟ้าหลายแห่งในรัสเซียและเยอรมนี ที่มีค่าความร้อนสูงและประสิทธิภาพในการจำจัดขยะในปริมาณมาก สามารถกำจัดขยะอุตสาหกรรมและขยะมีพิษจนไม่เหลือเศษซากที่จะกลับมาส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประเมินว่าโรงไฟฟ้าแห่งใหม่นี้จะสร้างรายได้ 180 ล้านบาท/ปี โดยมีอัตรารับซื้อไฟฟ้า (Feed in Tariff หรือ FIT) ที่ 7.78 บาท/หน่วย ซึ่งสูงกว่าโรงไฟฟ้าโซล่าฟาร์ม
โดยที่ก่อนหน้านี้ TWZ มติให้ บริษัท เกียร์ ทู คอร์ปอเรชั่น (GEAR 2) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าลงทุนด้วยการเข้าซื้อหุ้นสามัญสัดส่วน 52.63% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว ในบริษัท มิตรา คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MITRA) จากบริษัท สุธี โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 291 ล้านบาท
"ธุรกิจเดิมคือการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมยังคงเติบโตได้ แต่ขยับเพิ่มเล็กน้อย จึงเป็นเหตุผลให้ต้องหาธุรกิจอื่นเสริม โดยเน้นธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้ในอัตราสูงโดยปี 2561 TWZ มีรายได้จากธุรกิจสื่อสาร3,300 ล้านบาท คิดเป็น 97% ของรายได้ทั้งหมด ที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และพลังงานทดแทน ซึ่งการที่เราให้บริษัทลูกเข้าไปถือหุ้น บริษัท มิตรา คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจการถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในบริษัท พีจี แอนด์ ซี 5714 จำกัด (PGC) จำกัด สัดส่วน 99% ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีบริษัทลูกประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรม ในอยุธยา เป็นโรงไฟฟ้าระบบพาสม่าซึ่งเผาและผลิตไฟฟ้าที่มีความสามารถในการกำจัดขยะจากกากอุตสาหกรรมเพื่อผลิตไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 60 ตัน/วัน "นายพุทธชาติ รังคศิริ ประธานกรรมการ TWZ กล่าว
สำหรับการลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ TWZ ซึ่งมีโครงการพร้อมขายในปัจจุบัน 2 โครงการคือ เดอะ เพเซอร์ พัทยา มูลค่าโครงการกว่า 300 ล้านบาท และโครงการ The Wiz รัชดา ส่วนโครงการที่ดินเขาใหญ่มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ก็อยู่ระหว่างการตัดสินใจที่จะขายให้กับผู้สนใจ
ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ของ TWZ ที่เตรียมจะเข้าไปลงทุนโดยอยู่ในช่วงของการศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่า ยังถือว่าเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม นั่นคือธุรกิจ Application เพราะได้ลงทุนใน บริษัท เมอริท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI ในการพัฒนาและจำหน่าย Application ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยหากพิจารณาแนวโน้มการพัฒนาด้านซอร์ฟแวร์แอพพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน ถือว่ายังมีช่องทางที่จะประกอบธุรกิจที่จะทำให้เกิดรายได้และกำไรได้อีกมาก
อย่างไรก็ดี TWZ มองโมเดลธุรกิจใหม่ของบริษัท คือการเข้าไปเจรจากับผู้ประกอบการรถจักรยานยนและรถยนต์ไฟฟ้า ในจีน ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในไทย ซึ่งความได้เปรียบนั้นอยู่ที่แนวโน้มการตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า และยังประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงมากกว่า และค่าบำรุงรักษาหลังการขายก็น้อยกว่า
“เราไม่ได้มองว่ารถยนต์ไฟฟ้าหรือรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นแค่ยานพาหนะ แต่เรามองว่าเป็นเหมือนสมาร์ทโฟนเคลื่อนที่ เพราะสามารถที่จะใส่แอพพลิเคชั่นต่างๆ เข้าไปให้ทำงานได้เหมือนสมาร์ทโฟน ธุรกิจนี้จึงเชื่อมโยงกับธุรกิจของเราได้เป็นอย่างดี” นายนายพุทธชาติ กล่าว
**ราคาหุ้นไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง**
ขณะเดียวกันสถานการณ์ราคาหุ้น TWZ ที่เคลื่อนใหวอยู่ในปัจจุบันนี้ ที่ระดับราคา 0.10 บาท/หุ้น ยังถือว่าปรับตัวลดลงอย่างมาก หากเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ระดับราคา 0.39 บาท/หุ้น หรือปรับตัวลดลงมากว่า -62.50% หากเทียบกับราคา ณ ปัจจุบัน ซึ่งหากมองถึงผลตอบแทนในการลงทุนรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ติดลบมากถึง -40%
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าราคาหุ้น TWZ ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันจะไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง จนทำให้บริษัทฯ ต้องทุ่มเม็ดเงินกว่า 120 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นคืน โดยจะเริ่มทยอยรับซื้อหุ้นคืนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระหว่างวันที่ 6 – 26 มิถุนายน 2562 นี้ แต่จาก 3 โครงสร้างธุรกิจ ทั้งโทรคมนาคม พลังงาน และอสังหาฯ ของ TWZ ในปัจจุบัน
**สะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มทิศทางในอนาคตจะสามารถต่อยอด สร้างการเติบโตทั้งรายได้และกำไรให้กับบริษัท ถึงแม้ว่าเทรนเทคโนโลยีจะมีการแข่งขันกันสูงทั้งด้านคุณภาพและราคาตลอดจนถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา และวิกฤติความผันผวนของธุรกิจอสังหาฯ แต่ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าของประชาชนในประเทศที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกวัน จะเป็นกระจกสะท้อนความมั่นคงด้านรายได้ของ TWZ อย่างยั่งยืนในธุรกิจพลังงานได้อย่างไม่ยากเย็นนัก**
