ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2569 ที่ 1.6% เทียบกับที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.0% ในปี 2568 จากอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศที่ชะลอลง ส่งออกสินค้าของไทยในปี 2569 คาดว่าจะหดตัวส่งผลทำให้แรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยลดลง การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ในขณะที่การบริโภคของครัวเรือนได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ลดลงตามข้อจำกัดทางการคลัง มอง กนง. ลดดอกเบี้ยต่ออีก 1 ครั้ง อีกทั้งยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2569 องค์การการค้าโลก (WTO) คาดการณ์ว่าการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2568 ที่ขยายตัวได้ 2.4% มาอยู่ที่ 0.5% เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์ได้ส่งผลต่อต้นทุนการค้าและเพิ่มความไม่แน่นอน ในปี 2568 การค้าโลกได้อานิสงส์จากการเร่งส่งออกของภาคธุรกิจก่อนที่ภาษีเริ่มบังคับใช้จริงในเดือนสิงหาคม บวกกับแรงหนุนจากการส่งออกสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ที่พุ่งแรง โดยเฉพาะการส่งออกจากเอเชียไปสหรัฐฯ ตามการลงทุนใน Data Center และโครงสร้างพื้นฐาน AI ของสหรัฐฯ สวนทางกับสินค้าประเภทอื่นที่ไม่ใช่ AI (Non-AI) ที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ในขณะที่การส่งออกจากจีนไปเอเชียยังเติบโตได้ดีต่างกับการส่งออกไปสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีธุรกิจในประเทศจีนยังเผชิญกับการแข่งขันรุนแรงทั้งด้านกำลังการผลิตและสงครามราคา (Anti-Involution) ซึ่งกดดันการทำกำไรของภาคธุรกิจในจีนอย่างต่อเนื่อง
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงในปี 2569 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2569 ที่ 1.6% เทียบกับปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.0% โดยส่งออกสินค้าของไทยในปี 2569 คาดว่าจะหดตัวส่งผลทำให้แรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยลดลง การท่องเที่ยวที่จะยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เต็มที่ ในขณะที่การบริโภคของครัวเรือนที่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลง ส่วนหนึ่งจากแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอาจลดลงตามข้อจำกัดทางการคลัง โดยคาด กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายต่ออีก 1 ครั้ง ในปี 2569 นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน
"ปัจจัยที่ทำให้การเติบโตที่ชะลอลงของจีดีพีปีหน้ามาจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ชะลอลง โดยภาคการส่งออกที่ขยายตัวดีในปีนี้มีความเป็นไปได้ที่จะติดลบทั้งผลจากภาษีการค้าที่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณชะลอลงของกลุ่มสินค้าที่จะโดนเก็บภาษีแล้ว รวมถึงการค้าโลกเองก็ขยายตัวลดลงด้วย ขณะที่ภาคท่องเที่ยวแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังไม่เท่าช่วงก่อนโควิดฯ อีกตัวที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือการบริโภคเอกชนที่จะชะลอลงหลังหมดมาตรการกระตุ้นและเม็ดเงินงบประมาณในส่วนที่จะใช้เพื่อการนี้ในงบประมาณก็จะเหลือเพียง 65,000 ล้านบาท โดยงบฯใหม่จะต้องรอปีงบประมาณถัดไปซึ่งยังมีเรื่องของการเลือกตั้งใหม่-ข้อจำกัดด้านการคลังที่ต้องระวังด้วย และภาคการลงทุนเอกชนก็จะชะลอตามการผลิตเองก็จะชะลอตามการบริโภค ขณะที่ปัจจัยเรื่องภาวะเงินฝืดยังคงมีอยู่โดยคาดการณ์เงินเฟ้อจะกลับมาบวกได้้ล็น้อยที่ 0.40%"
**ชี้ช่องเพิ่มVAT-เก็บบางกลุ่ม**
นายบุรินทร์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับความเสี่ยงในเรื่องการถูกปรับลดเครดิตของประเทศนั้น ก็ขึ้นอยู่แผนระยะปานกลางของของรัฐในเรื่องของการบริหารจัดการรายรับรายจ่ายที่ตั้งเป้าว่าจะปรับลดขาดดุลงบประมาณให้เหลือ 3% รวมถึงการจัดหารายได้เพิ่ม ซึ่งทำให้มีข้อจำกัดในการใช้จ่ายเงินมากขึ้น ขณะที่การหารายได้เพิ่มนั้น มองว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)นั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ผ่านทางเลือกที่จะปรับขึ้นเฉพาะสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่ปัจจัยสี่ซึ่งจะเป็นการลดผลกระทบในวงกว้าง
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่า ทิศทางธุรกิจปี 2569 ยังอยู่ท่ามกลางความท้าทาย การชะลอลงของคำสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการแข่งขันกับสินค้านำเข้า กดดันการผลิตต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เสี่ยงหดตัวเป็นปีที่ 4 ส่วนธุรกิจบริการส่วนใหญ่ (เช่น ค้าปลีก ร้านอาหาร การแพทย์ ก่อสร้าง เป็นต้น) คาดเติบโตชะลอลง ขณะเดียวกันต้นทุนวัตถุดิบบางอย่างยังสูงและค่าแรงอาจปรับขึ้น ทำให้การสร้างรายได้สุทธิจะยากขึ้นภายใต้ศักยภาพตลาดที่โตต่ำ ธุรกิจจึงยังต้องเน้นการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ปรับตัวรับเทรนด์อย่างแตกต่าง และมองหาตลาดใหม่
*สินเชื่อแบงก์ยังติดลบ-
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ (ระบบแบงก์ไทย) มีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่องในปี 2569 สอดคล้องกับภาพการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจ โดยคาดว่า สินเชื่อของระบบแบงก์ไทยจะหดตัวลง 0.7% ในปี 2569 ต่อเนื่องจากที่คาดว่าจะหดตัวลง 2.3% ในปี 2568 โดยสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อย ทั้งในส่วนของสินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อ จะยังคงหดตัวตามข้อจำกัดด้านรายได้และอำนาจซื้อของภาคครัวเรือน ขณะที่ หนี้ครัวเรือนในปี 2569 มีแนวโน้มชะลอลงมาที่ระดับไม่เกิน 85% ต่อจีดีพี ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง และยังไม่น่าจะลดลงที่ระดับต่ำกว่า 80%ของจีดีพีตามเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ใน 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ รวมถึงทิศทางคุณภาพสินเชื่อในปี 2569 ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว-โรงแรมที่การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง และภาคการผลิต
"สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาสินเชื่อ -5% ทั้งปีคาดการณ์ -2.3% ติดลบเป็นปีที่ 3 ส่วนปีหน้าก็ยังคง - 0.7% โดยกลุ่มที่ลดลงก็ยังเป็นเอสเอ็มอี และรายย่อยที่นำโดยสินเชื่อบ้าน-รถที่คนอาจจะชะลอการซื้อ ขณะที่รายใหญ่โตได้เล็กน้อย ปัญหาก็คือส่วนที่แบงก์อยากปล่อยก็คือรายใหญ่เขาก็มีความต้องการกู้น้อยเพราะเศรษฐกิจไม่ดีการขยายธุรกิจมีน้อย แต่กลุ่มที่อยากกู้ก็มักจะอยู่ในโซนที่เสี่ยงสูง ด้านคุณภาพหนี้ คาดการณ์สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลในระดับใกล้ 3% จากปี 68 ที่ 2.8-2.85% แม้สถาบันการเงินต่างๆจะพยายามปรับโครงสร้างหนี้อย่างหนัก ดังจะเห็นได้จากตัวเลขการปรับโครงสร้างหนี้ที่สูงขึ้นมาก แต่เอ็นพีแอลก็ยังวนอยู่ในระดับนี้ และสิ่งที่เราได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลหนี้จากเครดิตบูโรพบว่าขนาดหนี้ที่ขนาดยิ่งเล็กยิ่งมีโอกาสเป็นหนี้เสียมากขึ้น โดยโอกาสที่จะไหลจากหนี้กลุ่ม SM มาเป็นเอ็นพีแอลมากขึ้น แต่หากได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เร็วจะมีโอกาสจะกลับมาประกอบธุรกิจได้มากกว่ากลุ่มที่เป็นหนี้เสียแล้ว ดังนั้น ทั้งในส่วนของสถาบันการเงิน และลูกหนี้ควรร่วมมือเพื่อเร่งแก้ปัญหาแต่เนิ่นๆเพื่อให้กลับมามีโอกาสทำธุรกิจปกติได้อีกครั้ง"