‘HashKey Group’ ยักษ์ใหญ่แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เตรียมจ่อคิวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (IPO) เป็นรายแรก หวังระดมทุนก้อนโตกว่า 215 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7.5 พันล้านบาท เพื่อติดปีกขยายอาณาจักรครบวงจร หลังโชว์ผลงานสุดแกร่งกวาดส่วนแบ่งการตลาดในฮ่องกงไปกว่า 75% พร้อมเปิดแผนยุทธศาสตร์นำเงินระดมทุนลุยอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน-ปั้นโปรดักต์ใหม่ มั่นใจดึงดูดเม็ดเงินสถาบันไหลเข้าสู่ระบบที่ถูกกฎหมาย ดีเดย์เทรดวันแรก 17 ธันวาคมนี้
วงการตลาดทุนเอเชียจับตามองตาไม่กะพริบ เมื่อ HashKey Group ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำ ประกาศเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่จะวัดชีพจรความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ “แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกกฎหมาย” (Regulated Platforms) หลังจากผ่านพ้นวัฏจักรขาลงของตลาดคริปโตฯ มาหมาดๆ
ตามหนังสือชี้ชวน (Prospectus) ระบุว่า HashKey เตรียมเสนอขายหุ้นจำนวน 240.6 ล้านหุ้น ในรูปแบบ Global Offering โดยแบ่งสรรปันส่วนให้นักลงทุนในฮ่องกงประมาณ 24.1 ล้านหุ้น และส่วนที่เหลือสำหรับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ โดยเคาะช่วงราคาเสนอขายอยู่ที่ 5.95 ถึง 6.95 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น
หากสามารถทำราคาได้ที่เพดานสูงสุด (Top End) ดีลนี้จะสามารถระดมเม็ดเงินได้สูงถึง 1.67 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 215 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 7,500 ล้านบาท) ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่ากิจการ (Valuation) ของ HashKey พุ่งทะยานแตะระดับ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 8.3 หมื่นล้านบาท) โดยมีกำหนดเปิดจองซื้อถึงวันศุกร์นี้ และเริ่มเข้าทำการซื้อขายวันแรกในวันที่ 17 ธันวาคม
โชว์แกร่ง ‘เบอร์หนึ่ง’ ตลาดฮ่องกง กวาดมาร์เก็ตแชร์ 75%
HashKey ไม่ได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นเพียงแค่กระดานเทรด (Exchange) แต่ในหนังสือชี้ชวนได้นิยามตนเองว่าเป็น “ระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลครบวงจร” (Digital Asset Ecosystem) ที่ผสานบริการทั้งการซื้อขาย, การดูแลรับฝากสินทรัพย์ (Custody), การแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน (Tokenization) และการบริหารสินทรัพย์ ภายใต้โครงสร้างที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
จุดแข็งสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต้องหันมามอง คือสถานะการเป็น “เจ้าตลาด” โดย HashKey เคลมว่าเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในฮ่องกง จากข้อมูลวิจัยระบุว่าบริษัทครองส่วนแบ่งการตลาดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแบบ Onshore ในฮ่องกงไปแล้วกว่า 75% ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของนโยบายรัฐบาลฮ่องกงที่พยายามดึงเม็ดเงินจากตลาดนอกชายฝั่ง (Offshore) กลับเข้าสู่ระบบที่มีการกำกับดูแล
ผ่าขุมทรัพย์รายได้ โตกระฉูดรับดีมานด์พุ่ง
ตัวเลขทางการเงินสะท้อนการเติบโตแบบก้าวกระโดด รายได้ของบริษัทพุ่งขึ้นจาก 129 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงในปี 2565 สู่ระดับ 721 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ในปี 2567 ตามปริมาณการซื้อขายและกิจกรรมบนเชนที่ขยายตัว แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จะทำรายได้ไปแล้ว 284 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง แต่บริษัทก็ยังคงมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากในด้านการวิจัย พัฒนา และการตลาด เพื่อปูพรมสร้างการเติบโตในระยะยาว
ขณะที่โมเดลธุรกิจของ HashKey ยืนอยู่บน 3 เสาหลัก ได้แก่
1.บริการธุรกรรม (Transaction Facilitation) ครอบคลุมกระดานเทรด, บริการ OTC, ช่องทางแลกเปลี่ยนเงินสด (Fiat Ramps) และบริการดูแลรับฝากทรัพย์สิน
2.บริการบนเชน (On-chain Services) โครงสร้างพื้นฐาน Staking, Tokenization และ HashKey Chain เชนของตัวเองที่รองรับโปรเจกต์สินทรัพย์ในโลกจริง (RWA)
3.การบริหารสินทรัพย์ (Asset Management) การลงทุน Venture Capital ในโปรเจกต์ Web3 และกองทุนคริปโตฯ
กางแผนใช้เงิน IPO ลุย ‘นวัตกรรม-สภาพคล่อง’ เต็มสูบ
เม็ดเงินระดมทุนสุทธิประมาณ 1.43 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง จะถูกนำไปใช้เพื่อติดอาวุธทางธุรกิจอย่างรอบด้าน ได้แก่
1.Product Innovation มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่ถูกกฎหมาย (Regulated Derivatives) และผลิตภัณฑ์สร้างผลตอบแทน (Yield Products)
2.Liquidity & Custody สร้างสภาพคล่องร่วม (Shared Liquidity) และอัปเกรดระบบจัดเก็บสินทรัพย์ให้รองรับเชนและโทเคนได้หลากหลายขึ้น
3.Infrastructure ลงทุนในบริการ Cloud และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับปริมาณธุรกรรมมหาศาลโดยระบบไม่ล่ม พร้อมจ้างงานวิศวกรและนักวิจัยระดับหัวกะทิ
เดิมพันครั้งใหญ่ของฮ่องกง
การเข้าตลาดของ HashKey เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนสำหรับฮ่องกง แม้เมืองจะอนุมัติใบอนุญาตให้กระดานเทรดไปแล้ว 11 แห่ง แต่ยังไร้เงายักษ์ใหญระดับโลกอย่าง Binance หรือ Coinbase การ IPO ครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการประกาศศักดาของ “แชมเปี้ยนท้องถิ่น” ที่พร้อมจะดึงดูดเม็ดเงินสถาบันให้ไหลเข้าสู่ระบบที่ถูกกฎหมาย ท้าชนคู่แข่งสำคัญอย่างสิงคโปร์และดูไบ ในศึกชิงบัลลังก์ฮับคริปโตแห่งเอเชีย