xs
xsm
sm
md
lg

เปิดประเทศหนุนหุ้นการแพทย์คึก อานิสงส์ผู้ป่วยต่างชาติเข้ารับรักษา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลคึกรับประโยชน์จากการเดินทางเข้าประเทศ หลังรัฐผ่อนมาตรการเข้าประเทศและลดขั้นตอนการตรวจเข้ม ทำให้ลูกค้าชาวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามารักษาในโรงพยาบาลชั้นนำมากขึ้น อีกทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติหวนกลับเข้ามาท่องเที่ยว ขณะตัวเลขการติดเชื้อโควิดยังไม่น่าไว้ใจ กระทั่งเบรกประกาศเป็นโรคประจำถิ่น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลเป็นบวกกับธุรกิจการแพทย์ เพราะจะทำให้รายได้จากการบริการทางการแพทย์เติบโต กูรูให้หุ้น BDMS โดดเด่นสุดในกลุ่ม ขณะอีกหลายตัวรับอานิสงส์แตกต่าง แนะซื้อติดพอร์ต

หุ้นโรงพยาบาลกลับมามีสีสันอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้าซึมลึก เมื่อมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วงแรกๆ และยังไม่มีวัคซีนรักษา และเมื่อพบวิธีการรักษาและวัคซีนป้องกัน ส่งผลให้ธุรกิจโรงพยาบาลคึกคักอีกครั้ง ขณะที่การผ่อนมาตรการและเปิดประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหวนกลับมาเที่ยวไทยอีกครั้ง กระนั้นตัวเลขการติดเชื้อและการระบาดของโควิดไม่เคยนิ่ง รวมถึงโรคระบาดใหม่ๆ ยังคงมีกระแสต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนหลายรายเริ่มหันมาพิจารณาการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลอีกครั้ง

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ประเมินภาวะตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นไทยในกลุ่มที่เกี่ยวกับภาคการท่องเที่ยว หลังจากมีการเปิดประเทศ และผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศ ทำให้จะเห็นภาพการท่องเที่ยวในปีนี้ฟื้นตัวกลับมาได้อย่างดี ซึ่งสามารถเข้ามาทดแทนกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกที่ชะลอลงตามเศรษฐกิจโลกได้ โดยหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวที่เป็นหุ้นแนะนำ ได้แก่ AOT, AAV, BA, ERW, CENTEL, MINT, SHR, CPN และ CRC อีกทั้ง กลุ่มโรงพยาบาลซึ่งได้รับประโยชน์จากการเดินทางเข้าประเทศได้ ทำให้ลูกค้าชาวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามารักษาในโรงพยาบาลชั้นนำมากขึ้น โดยมีหุ้นแนะนำในกลุ่มโรงพยาบาล อย่าง BDMS หรือบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และ BCH หรือบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)  

 บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะนำหุ้นโรงพยาบาล ทั้งหุ้น BCH และหุ้นบริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG และหุ้นบริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ RJH เพราะมองว่าหุ้นโรงพยาบาลจะได้รับผลบวกจากการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังมีข่าวกรมการแพทย์สั่งโรงพยาบาลเตรียมพร้อมรับมือ โดยหุ้น BCH ให้ราคาเป้าหมายที่ 23.7 บาทต่อหุ้น มองว่าจะได้รับ Sentiment เชิงบวกของการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยรายได้เกี่ยวกับโควิด-19 ในไตรมาส 1/2565 มีสัดส่วน 62.9% ส่วนหุ้น CHG ให้ราคาเป้าหมายที่ 4.20 บาทต่อหุ้น มองว่าการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่จะส่งผลบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดกลาง และคาดว่ากำไรไตรมาส 2 จะอยู่ที่ 700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 48% จากไตรมาสก่อน ตามทิศทางรายได้ธุรกิจของโรงพยาบาล และหุ้น RJH ราคาเป้าหมายที่เป็น Max Consensus อยู่ที่ 40 บาทต่อหุ้น คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2 ที่ 395 ล้านบาท เติบโต 187% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 16% จากไตรมาสก่อน ประเมินว่าลูกค้าประกันสังคมฟื้นตัวดี และมีส่วนแบ่งตลาดประกันสังคมเป็นอันดับ 1 ในอยุธยา และอยู่ระหว่างการขยายโรงพยาบาลใหม่อีก 2 แห่ง

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวถึงหุ้นโรงพยาบาลขนาดเล็กที่วิ่งขึ้นมายกกลุ่ม เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ยังขึ้นช้า ซึ่งมาจากประเด็นการที่คนไข้เริ่มกลับเข้ามา การเข้าสู่หน้าฝนซึ่งเป็นไฮซีซันของกลุ่มโรงพยาบาล การเปิดประเทศที่จะทำให้มีกำลังซื้อกลับมาในกลุ่มนี้ ประกอบกับหุ้นโรงพยาบาลอยู่ในจุดปรับตัวพอดีจากการผันตัวไปรักษาผู้ป่วยตามปกติซึ่งต้องติดตามว่ารายได้จากการรักษาโรคทั่วไปเป็นอย่างไรจากที่มีรายได้โควิด ดังนั้นมองว่าระยะสั้นยังสนใจหุ้นที่เกี่ยวข้องกับต่างชาติ BDMS และ BH ส่วนหุ้นโรงพยาบาลในประเทศนั้นสามารถรอจังหวะก่อนได้

บล.เคทีบีเอสที ประเมินบริษัทมีมุมมองเป็นบวกจากกรณี ครม. อนุมัติในหลักการการเพิ่มซาอุดีอาระเบียในรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในไทย สะท้อนผ่านสัดส่วนนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบียใน 4 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 0.5% ของนักท่องเที่ยวที่เข้าไทย หรือราว 4,000 คน คาดว่าจะเห็นการกลับมาของนักท่องเที่ยวซาอุฯ เพิ่มขึ้น คาดส่งผลบวกกับกลุ่มโรงพยาบาล ที่มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติมากขึ้น คาด BH จะมีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติอยู่ที่ 55% BDMS คาดสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติปีนี้ที่ 25% เบื้องต้นประเมินค่าใช้จ่ายต่อหัวจากนักท่องเที่ยวซาอุฯ อยู่ที่ 50,000 บาทต่อคน ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว 80% จะเป็นค่ารักษาพยาบาล และ 70% ของนักท่องเที่ยวซาอุฯ เข้ามาเพื่อ medical tourism อิงจากรายได้นักท่องเที่ยวของ รพ. ที่มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวเป็นหลัก 

บล.กสิกรไทย มอง BDMS หุ้นเด่นของกลุ่มโรงพยาบาล คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2566 ที่ 28.90 บาท สะท้อน PER ปี 2566 ที่ 38.8 เท่า และปี 2567 ที่ 36.7 เท่า ซึ่งอยู่ระหว่าง 1SD (39.6 เท่า) เหนือระดับเฉลี่ย 12 ปีของ BDMS ที่ 32.1 เท่า และสะท้อนอัตราตอบแทนเงินปันผลปี 2565 ที่ 2.3% คาด BDMS จะรายงานกำไรปกติไตรมาส 2 ปีนี้ที่ 2.8 พันล้านบาท ลดลง 20% จากไตรมาสก่อนแต่เพิ่มขึ้น 91% จากปีก่อน การลดลงในเชิงเทียบไตรมาสคาดจะมาจากรายได้และอัตรากำไรที่ลดลง ขณะปัจจัยหนุนการเติบโตในเชิงเทียบปีต่อปี คาดจะมาจากรายได้และอัตรากำไรที่สูงขึ้น ขณะคาดว่ารายได้รวมจะอยู่ที่ 2.04 หมื่นล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดจะลดลงเทียบไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยคาดกำไรปกติช่วงครึ่งแรกปีนี้ที่ 6.2 พันล้านบาท เติบโต 123% จากปีก่อน และคิดเป็น 52% ของประมาณการทั้งปี ปัจจัยหนุนการเติบโต ในเชิงเทียบปีก่อนมาจากรายได้และอัตรากำไรที่สูงขึ้น ขณะที่ BDMS ให้แนวทางว่าจำนวนผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเทียบปีก่อน อีกทั้งจำนวนผู้ป่วยจากซาอุดีอาระเบียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมทั้งจากกลุ่มประเทศ CLMV ฟื้นตัวขึ้นแข็งแกร่งในเดือนพฤษภาคม คาดรายได้โควิด-19 และรายได้วัคซีนทางเลือกไตรมาส 2 จะอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อนและปีก่อนและคิดเป็น 7% ของรายได้รวมในไตรมาส 2 เพราะอัตราการฉีดวัคซีนสูงขึ้น 

ผู้ป่วยตะวันออกกลาง - CLMV แหล่งรายได้ BDMS

บล.ฟิลลิป แนะนำ “ทยอยซื้อ” BDMS ให้ราคาเป้าหมาย 29.50 บาท/หุ้น คาดกำไรไตรมาส 2 กำไร 2,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.2% เทียบปีก่อน แต่ลดลง 27.8% จากไตรมาสก่อน คาดรายได้ค่ารักษาพยาบาลลดลงจากไตรมาสก่อน เกิดจากการลดลงของคนไข้โควิด-19 ที่ชะลอตัวลงตามสถานการณ์การติดเชื้อภายในประเทศ โดยคาดว่า ไตรมาส 2 ปีนี้ รพ.จะมีรายได้ที่เกี่ยวกับโควิด-19 ลดลงเหลือ 10% จาก 17% ในไตรมาสแรกปีนี้ แต่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของคนไข้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ทั้งคนไข้ชาวไทย และคนไข้ชาวต่างชาติที่ฟื้นตัวได้ดี ทั้งกลุ่มคนไข้ชาวตะวันออกกลาง และ CLMV โดยเฉพาะชาวพม่า และกัมพูชา ทั้งนี้ จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบกับรายได้ของ รพ.ในส่วนของลูกค้ากลุ่ม Mid-tier

บล.เคทีบีเอสที  แนะนำ “BUY” หุ้น BDMS ราคาเป้าหมาย 31 บาท/หุ้น ประเมินไตรมาส 2 ปีนี้ เติบโตดีเทียบปีก่อน จากรายได้ Non-COVID ขยายตัว คงประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 2 อยู่ที่ 2,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% เทียบปีก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ขณะรายได้รวมเพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน ผลจากรายได้ Non-COVID ขยายตัว 31% เทียบปีก่อน เพราะผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศเพิ่ม คาดสัดส่วนรายได้โควิดอยู่ที่ 9% และ GPM ขยายตัวจากสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติเพิ่ม จึงปรับประมาณการกำไรปี 65 ขึ้น 9% เพื่อสะท้อนของสมมติฐาน GPM ที่เพิ่มขึ้น จากการฟื้นตัวของรายได้ผู้ป่วยทั่วไปที่ดีขึ้นทั้งผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติที่เร็วกว่าคาด ประเมินกำไรสุทธิปีนี้ที่ 10,194 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน และปี 66 ที่ 11,273 ล้านบาท หนุนโดยรายได้รวมขยายตัว 14% คาดสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติกลับสู่ระดับปกติที่ 30% และรายได้ Non-COVID ขยายตัวต่อเนื่อง

บล.กรุงศรี  แนะนำ “BUY” หุ้น BDMS ราคาเป้าหมาย 31 บาท/หุ้น คาดกำไรไตรมาส 2 จะต่ำสุดของปี โดยจะมีโรคประจำปี และผู้ป่วย IPD เด็ก (ผู้ป่วยโควิดทำให้อัตราการครองเตียงเพิ่มขึ้นเป็น 100% ในขณะนี้) เป็นปัจจัยหนุนกำไรไตรมาส 3 และผู้ป่วยระหว่างประเทศจะเป็นปัจจัยหนุนในไตรมาส 4 คาดจะมีอัปไซด์จากประมาณการกำไร 9.1 พันล้านบาท ปี FY23F ประมาณการรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติลดลง 25% เทียบไตรมาสก่อน ส่วนไตรมาส 2 รายได้จากผู้ป่วย CLMV กลับสู่ระดับก่อนโควิดใน พ.ค. ช่วยบรรเทาผลกระทบ รายได้ในภาพรวมจะลดลง 11% จากไตรมาสก่อน เป็น 2 หมื่นล้านบาท อัตราการครองเตียงลดลงจาก 80% ในไตรมาสแรกเป็น 65-70% ในไตรมาส 2 และ EBITDA margin ลดลงเป็น 23.8% จาก 27% ในไตรมาสแรก คาดฟื้นตัวไตรมาส 3 และ 4

BH รับผลดีผู้ป่วยนอกพุ่ง

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ “Neutral” หุ้น BH หรือบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 182 บาทต่อหุ้น คาดกำไรสุทธิของ BH ไตรมาส 2 จะออกมาแข็งแกร่งที่ 743 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นทั้งไตรมาสก่อนและปีก่อน คิดเป็น 29.3% ของประมาณการกำไรปีนี้ที่ 2.53 พันล้านบาท เพราะผลงานไตรมาส 2 ได้แรงหนุนจากการที่ประเทศไทยเปิดประเทศอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งช่วยให้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติของ BH เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ผลประกอบการที่ดีขึ้นเพราะผู้ป่วยที่มารับบริการรักษาโรคทั่วไปในไตรมาส 2 มี intensity สูงขึ้น เชื่อว่าโมเมนตัมของ BH จะยังเป็นบวกต่อเนื่องจากการรักษาโรคที่ไม่ใช่โควิด ทั้งในส่วนของผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติหลังจากผ่านช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดเลวร้ายที่สุดแล้ว ดังนั้น คงประมาณการกำไรปี FY65-66F เอาไว้เท่าเดิม คาดว่าผลการดำเนินงานของ BH ปี 2565F จะโตโดดเด่นหลังเปิดประเทศ

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เลือก BH หุ้นเด่นกลุ่มโรงพยาบาล ให้ราคาเป้าราคา 200.00 บาท แม้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นทั้งจากทิศทางพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบต่างๆ เพิ่มต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ดังนั้นจังหวะเช่นนี้จำเป็นจะต้องค้นหาหุ้นที่สามารถต้านทานกับภาวะเงินเฟ้อสูงได้ และยังมีปัจจัยเฉพาะตัวที่แข็งแกร่งที่จะหนุนให้รายได้ยังเติบโตได้ดี ประเมินกลุ่มโรงพยาบาลเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ โดยเลือก BH เป็นหุ้นที่น่าสะสมจากจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้ขยายตัวดี และคาดจะดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง และปี 2566 คาดสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติปีนี้ของ BH จะปรับขึ้นสู่ระดับ 57% จากปี 2564 ที่ระดับ 52% คาดจะเพิ่มต่อเนื่องสู่ระดับปกติคือ 66% ในปี 66 กำไรปีนี้ขยายตัว 130% จากปีก่อนหรือ 2,926 ล้านบาท ต่อเนื่องไปถึงปี 66 จากการฟื้นตัวของผู้ป่วยต่างชาติ

ยอดผู้ติดเชื้อโควิดขยับ หนุนรายได้ BCH พุ่ง 

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) มองว่า BCH นั้นหากโควิด-19 กลับมา กำไรจะดีขึ้น และมีการระบาดของโควิด-19 สายพันธ์ุ BA.4 และ BA.5 อาจทำให้ยอดผู้ติดเชื้อกลับมาสูงถึง 4-5 รายต่อวัน ขณะที่ BCH ได้ชื่อว่าเป็น รพ.ที่มีความสามารถในการให้บริการด้านโควิด-19 อันดับ 1 ของไทย แม้ได้คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2 ลดลงเทียบไตรมาสก่อน และมีแนวโน้มลดต่อในหลายไตรมาสข้างหน้า เนื่องจากรายได้เกี่ยวกับโควิด-19 ลดลง แต่ยังต้องติดตามช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.65 ให้ราคาพื้นฐาน 21.50 บาท (DCF)

บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ “เพิ่มน้ำหนัก” เข้าลงทุนในหุ้น BCH และเลือกให้เป็นหุ้นเด่น แม้แนวโน้มกำไรไตรมาส 2 ปี 65 จะชะลอตัวจาก Low Season และสถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย แต่ตลาดมองข้ามการดำเนินงานหลักที่ยังเติบโตแข็งแกร่งทั้งผู้ป่วยไทย ต่างชาติ และรายได้ประกันสังคม รวมถึงโรงพยาบาลใหม่ๆ ที่เพิ่งเปิดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาที่ไม่ถ่วงผลการดำเนินงานแล้ว แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของ BCH ยังเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบปีก่อน ผู้ป่วยโควิด-19 ยังคงสูงอยู่อัตราครองเตียงของ BCH และ รพ.โดยรวมอยู่ที่ระดับ 80% และ 90% ตามลำดับ และยังได้รับอานิสงส์การขายและฉีดวัคซีนโมเดอร์นาที่คาดว่าจะมีการสั่งเพิ่มจากอุปสงค์เพื่อกระตุ้นเข็ม 3-4 ทำให้ยังสามารถทยอยขายได้จนถึงไตรมาส 4 ปีนี้ จึงคาดกำไรสุทธิปี 65 ที่ 5,657 ล้านบาท และยังปรับรายได้เพิ่มขึ้น 60% เป็น 17,505 ล้านบาท แนะนำ “ซื้อ” เป้า 26.50 บาท

ปรับขึ้นรักษาประกันสังคม-ผู้ป่วยต่างชาติเพิ่ม CHG สดใส 

บล.โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่าแนวโน้มไตรมาส 2 ปีนี้ของ CHG คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 738 ล้านบาท เติบโต 28% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน แต่ลดลง 46% จากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้การระบาดของโควิดสายพันธุ์ย่อย และมียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ทำให้ในปี 2565 รายได้เกี่ยวกับโควิดจะสูงกว่าสมมติฐานที่คาดว่าจะมีรายได้ราว 2,500 ล้านบาท ประเมินรายได้เกี่ยวกับโควิด เพิ่มขึ้น 20% จาก 2,500 ล้านบาท ทำให้ประมาณการรายได้ และกำไรสุทธิปี 2565 เพิ่มขึ้น 6% และ 5% ตามลำดับ คงคำแนะนำ Trading Buy และราคาเป้าหมายที่ 4.20 บาท

บล.เอเชีย เวลท์ มองแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ของ CHG ลดลงจากไตรมาสก่อน จากสถานการณ์โควิดในประเทศเริ่มคลี่คลาย สะท้อนจากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลงอย่างมีนัย หลังจากนี้คาดว่ารายได้ที่เกี่ยวกับโควิดจะมีสัดส่วนที่ลดลงต่อเนื่อง แต่เริ่มเห็นการฟื้นตัวของจำนวนผู้ป่วยที่ไม่ใช่โควิดในเดือน พ.ค. ทั้งนี้คาดว่ารายได้ที่ไม่ใช่โควิดจะเพิ่มขึ้น รวมถึงจำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นหลังจากมีการเปิดประเทศ แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 4 บาท

บล.ฟิลลิป แนะซื้อ หุ้น CHG ให้ราคาเป้าหมาย 4.16 บาท แนวรับที่ 3.74-3.82 บาท เนื่องจากพบว่าเริ่มเห็นแนวโน้มคนไข้โควิด-19 กลับมาตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าทางโรงพยาบาลจะมีรายได้เกี่ยวข้องกับโควิด-19 เพิ่มขึ้น แม้ว่า สปสช.จะปรับเกณฑ์การจ่ายชดเชยบริการโควิด-19 แต่ทางโรงพยาบาลยังสามารถบริหารต้นทุนให้สอดคล้องกับรายได้ได้

ขณะเดียวกันหลังเปิดประเทศเริ่มเห็นการฟื้นตัวของผู้ป่วยชาวต่างชาติ ทั้งคนไข้กลุ่มตะวันออกกลาง พม่า และกัมพูชา ทำให้เป็น sentiment เชิงบวกต่อแนวโน้มรายได้ในช่วงที่เหลือของปี

ผู้ป่วยเงินสด-มาร์จิ้นดี ดันรายได้ RJH 

บล.พาย แนะนำ “HOLD” หุ้น RJH หรือ บริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 33.50 บาทต่อหุ้น คาดกำไรจะลดลงจากไตรมาสก่อน ในไตรมาส 2 เพราะเคสผู้ติดเชื้อที่น้อยลงซึ่งจะไปกดดันรายได้เคสโควิด-19 และการยกเลิกเงื่อนไขการตรวจ RT-PCR คาดกำไรลดลงในครึ่งหลังปี 65 จากฐานสูง รวมถึงรายได้เคสโควิด-19 ที่ลดลงจากปีก่อน หากไม่รวมรายได้เคสโควิด-19 คาดว่ากำไรปี 65-66 จะโตขึ้น สะท้อนมุมมองที่เชื่อว่าแรงขับเคลื่อนจากกิจการหลักจะยังคงดำรงอยู่ตามเดิม จึงคงคำแนะนำ “ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 33.50 บาท อิง 19.7xPE’23E แม้กำไรปี FY2022E จะถูกกดดันโดยส่วนแบ่งจากเคสโควิด-19 ที่ลดลง

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย ) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น RJH ราคาเป้าหมาย 38.00 บาท คาดผลงานไตรมาส 4 ปี 64 น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ผลมาจากลูกค้าเงินสดขยายตัวมากขึ้น ประกอบกับได้รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มผู้ประกันตนในส่วนของประกันสังคมขยายตัว หลังมีเคสผ่าตัดเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งยังมีรายได้จากวัคซีน “MODERNA” เข้ามาเพิ่มรวมทั้งรายได้จากโควิดสูงและทาง RJH มีโอกาสได้รับสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ (IPD) เพิ่มเติมอีก 7-8 หมื่นคนในปี 65 ซึ่งน่าจะกลายเป็นปัจจัยช่วยหนุนให้แนวโน้มรายได้ผู้ป่วยเงินสดและอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ของทาง RJH ให้ปรับตัวดียิ่งขึ้น ดังนั้น จากปัจจัยดังกล่าว ประกอบกับพื้นฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้ทางฝ่ายวิเคราะห์จึงมองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนหุ้น RJH






กำลังโหลดความคิดเห็น