xs
xsm
sm
md
lg

สสว.ย้ำเหตุจำเป็นฟ้อง 39 บริษัทร่วมทุนก่อนหมดอายุความเล็งหาช่องผ่อนปรน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



สสว.ออกโรงชี้แจงกรณีผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 39 รายร้องนายกฯ ถูกฟ้องร้องกรณีการร่วมลงทุน แจงเหตุจำเป็นต้องฟ้องร้องกับบริษัทร่วมทุนที่ผิดสัญญาก่อนหมดอายุความตามหน้าที่เตรียมหาทางผ่อนปรนรายละเอียดเพิ่มเติมชงบอร์ดส่งเสริมฯ เคาะ

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
เปิดเผยว่า สสว.ยืนยันว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฏหมายถึงกรณีที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) 39 ราย ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (บอร์ด สสว.) ที่ระบุถึงผลกระทบที่เข้าร่วมโครงการ “5,000 ล้าน หุ้นส่วนใหม่ธุรกิจไทย” ของ สสว.โดยระบุว่าเป็นสัญญาร่วมทุน แต่เมื่อผ่านระยะเวลามา 10 กว่าปี ผู้ประกอบการกลับถูกฟ้องในฐานะการกู้เงิน ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเดือดร้อน

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2547 โดยมีชื่อว่า กองทุนร่วมลงทุนเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความสามารถของธุรกิจไทย โดยสนับสนุนให้มีแหล่งเงินทุนเพิ่มขึ้นและมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่เหมาะสม อีกทั้งยังสนุบสนุนเงินทุนแก่เอสเอ็มอีที่ประสบภัย “สึนามิ” พร้อมทั้งประสานงานช่วยเหลือกับหน่วยงานสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เอสเอ็มอีดังกล่าวเพื่อเร่งฟื้นฟูธุรกิจ โดยหลักมีเกณฑ์การร่วมลงทุนคือ วงเงินในการร่วมลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท สูงสุด 100 ล้านบาท มีระยะเวลาการเข้าร่วมทุนหรือถือหุ้นในกิจการ 1-10 ปี และกรณีการถอนตัวภายใน 5 ปี (ก่อน 31 ธ.ค. 2552) ผู้ประกอบการสามารถขายหุ้นคืนด้วยราคาต้นทุนบวก 1 เปอร์เซ็นต่อปี (เฉพาะส่วนที่เกิน 5 ปี) และเกณฑ์ร่วมลงทุนที่ประสบภัย “สึนามิ” คือ วงเงินในการร่วมลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท สูงสุด 100 ล้านบาท มีระยะเวลาร่วมลงทุนหรือถือหุ้นในกิจการไม่เกิน 7 ปี และกรณีการถอนตัวภายใน 5 ปี ผู้ประกอบการสามารถซื้อหุ้นคืนด้วยราคาต้นทุนบวก 1% ต่อปี

โดย สสว.ได้ร่วมทุนกับผู้ประกอบการจำนวน 60 บริษัท งบประมาณ 1,159.65 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2547 โดยสถานะปัจจุบันแบ่งเป็น กลุ่ม 1 ซื้อหุ้นคืนแล้ว 20 บริษัท เป็นเงิน 485.48 ล้านบาท โดยได้รับผลตอบแทน จำนวน 120.73 ล้านบาท ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ สามารถสร้างผลประกอบการและสร้างธุรกิจได้ และกลุ่ม 2 ซึ่งสถานะปัจจุบัน คือ สสว.ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาร่วมลงทุนแล้ว 39 บริษัท เป็นเงิน 674.17 ล้านบาท สาเหตุเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามสัญญาร่วมลงทุน ประกอบกับอายุความการดำเนินคดีกำลังจะครบกำหนดตามกฎหมาย สสว.จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายผ่านอัยการตามสัญญาร่วมลงทุนซึ่งในส่วนนี้ เมื่อปี 2550-2557 สสว.ได้บอกเลิกตามสัญญาร่วมลงทุนและเริ่มฟ้องร้องดำเนินคดีในปี 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 39 บริษัท แบ่งเป็น

กลุ่มที่ 1 จำนวน 28 บริษัท ที่เลิกดำเนินกิจการ ไม่ส่งงบการเงินต่อเนื่องเกินกว่า 3 ปี หรือถูกสถาบันการเงินฟ้องร้อง หรือเลิกจะเลิกกิจการ หรือไม่ได้มีธุรกิจหลักหรือขายสินทรัพย์หลักไปแล้ว ถูกสถาบันการเงินดำเนินคดี กลุ่มที่ 2 จำนวน 11 บริษัทนั้นได้มีการร้องขอปรับโครงสร้างหนี้ โดยได้เสนอเงื่อนไขขอทยอยชำระเฉพาะเงินร่วมลงทุน และขอยกเว้นผลตอบแทนและเบี้ยปรับ เป็นต้น ซึ่ง สสว.อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด แต่จำเป็นต้องฟ้องร้องดำเนินคดีผ่านอัยการตามสัญญาร่วมลงทุนไปก่อนเนื่องจากคดีกำลังจะครบกำหนดตามกฎหมาย

“สสว.จำเป็นที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อบริษัทร่วมลงทุนเหล่านั้น เนื่องจากระยะเวลาครบกำหนด บริษัทไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาตามกฎหมาย และอายุความการดำเนินคดีกำลังจะหมดลง เรียกว่า สสว.ผ่อนปรนเต็มที่ก่อนสัญญาจะหมดอายุความ เป็นการดำเนินการตามหน้าที่ ผ่านสำนักงานอัยการ เพื่อมิให้เกิดความเสียหายกับเงินงบประมาณของรัฐ และขณะนี้ สสว.อยู่ระหว่างพิจารณาผ่อนปรนในรายละเอียดต่างๆ และเตรียมเสนอให้คณะอนุกรรมการบริหารวิสาหกิจขนาดย่อม หรือบอร์ดบริหารพิจารณาก่อนส่งให้บอร์ดส่งเสริมต่อไป” ผอ.สสว.กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น