xs
xsm
sm
md
lg

ตัวเลขฟ้อง!!ทรัมป์แพ้ยับสงครามการค้า โควิดล้มแผนตะวันตกตัดขาดเศรษฐกิจจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


วิกฤตโควิดกลับทำให้ทั่วโลกต้องเกี่ยวพันกับจีนมากขึ้น ดับฝันตะวันตกที่ต้องการตัดขาดแดนมังกร
ปีที่ผ่านมา จีนโชว์ผลงานเศรษฐกิจชนิดที่ทุกประเทศต้องอิจฉา มิหนำซ้ำโรคระบาดใหญ่ยังทำให้ความพยายามในการตัดขาดแดนมังกรพังไม่เป็นท่า ค่าที่จีนฟื้นเร็วกว่าใครและสามารถผลิตอุปกรณ์ป้องกันโควิดและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นที่ต้องการอย่างมากขณะที่ประเทศอื่นๆ ยังล็อกดาวน์อยู่ ส่งผลให้ยอดส่งออกพุ่งทุบสถิติ ตัวเลขเกินดุลการค้าวิ่งฉิวซึ่งรวมถึงกับอเมริกา ซ้ำเติมทรัมป์ผู้โดดเดี่ยวแพ้ราบคาบในสงครามการค้าที่ตนเองก่อขึ้น

อย่างไรก็ตาม อนาคตของจีนใช่ว่าจะง่ายขึ้นในยุคไบเดน ดูจากคนที่ถูกวางตัวให้รับผิดชอบนโยบายต่อเอเชียแล้ว ปักกิ่งคงหนีไม่พ้นถูกกำราบด้วยไม้แข็ง เพียงแต่จะไม่ก้าวร้าวโฉ่งฉ่างเหมือนทรัมป์เท่านั้น

จีน ประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก ปิดฉากปี 2020 ด้วยตัวเลขเกินดุลการค้ารวม 78,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม และ 535,000 ล้านดอลลาร์สำหรับตลอดทั้งปี หรือเพิ่มขึ้น 27% จากปี 2019 ขณะที่ยอดส่งออกพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ลาร์รี หู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ในจีนของแมคควอรี แคปิตอล บอกว่า ท่ามกลางความพยายามของมหาอำนาจตะวันตกในการตัดขาดเศรษฐกิจจีนและการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ แต่เหลือเชื่อว่า วิกฤตโควิดกลับทำให้ทั่วโลกต้องกระชับสัมพันธ์กับจีนลึกซึ้งขึ้น

ลูอิส คัจส์ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจเอเชียของออกซ์ฟอร์ด อิโคโนมิกส์ ชี้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนยังเดินหน้าต่อคือ การจัดการวิกฤตโรคระบาดอย่างเด็ดขาดและมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถฟื้นการผลิตอย่างรวดเร็วและตอบสนองความต้องการอุปกรณ์ป้องกันโควิดและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่หลั่งไหลมาจากทั่วโลกเนื่องจากประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังล็อกดาวน์อยู่

ขณะเดียวกัน ไอริส แปง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเกรทเตอร์ไชน่า (จีน ฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน) ของไอเอ็นจี ชี้ว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนกับอเมริกายิ่งไม่สมดุลมากขึ้น โดยปักกิ่งเกินดุลวอชิงตันถึง 317,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา หรือมากกว่าปีก่อนหน้า 7% และยังถือเป็นสถิติสูงสุดอันดับ 2

แปงตั้งข้อสังเกตว่า จีนเกินดุลการค้าอเมริกาแค่ 7,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 ที่ทรัมป์เริ่มสงครามการค้า และเมื่อพิจารณาจากยอดนำเข้าที่อเมริกาสั่งจากจีนในปีที่ผ่านมาคงพูดได้ว่า ทรัมป์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามการค้าที่เขาก่อขึ้นเอง

นักวิเคราะห์มากมายยังคาดว่า เศรษฐกิจจีนช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2020 จะยิ่งเติบโตชัดเจน โดยโพลล์ของรอยเตอร์คาดการณ์ตัวเลขไว้ที่ 2.1% ตลอดปีที่ผ่านมา

คัจส์เสริมว่า การที่จีนมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานมากมายและยังคงเป็นฐานการผลิตที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง ทำให้การขู่ตัดขาดเศรษฐกิจแดนมังกรเป็นแค่สงครามน้ำลายที่พูดง่ายกว่าทำ

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าอนาคตของจีนจะราบรื่นสวยหรู นักวิเคราะห์หลายคนฟันธงว่า คณะบริหารของโจ ไบเดน ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกาในวันพุธหน้า (20) จะไม่ผ่อนคลายการกดดันต่อปักกิ่ง แต่อาจลดความก้าวร้าวและมีแนวทางที่เสถียรมากขึ้นเท่านั้น

การคาดการณ์ดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูง หลังจากเมื่อวันพุธ (13) มีข่าวว่า ไบเดนเลือกเคิร์ต แคมป์เบลล์ ที่เคยทำงานให้อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และเป็นผู้ริเริ่มกลยุทธ์ “ปักหมุดเอเชีย” เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสซี) ด้านนโยบายต่อเอเชีย ซึ่งแน่นอนว่า รวมถึงความสัมพันธ์กับจีน

ปี 2016 แคมป์เบลล์ออกหนังสือชื่อว่า “The Pivot” ที่พูดถึงการเสริมสร้างการเป็นพันธมิตรและความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศอย่างอินเดียและอินโดนีเซีย ขณะที่จีนกำลังแผ่ขยายอิทธิพล

เขายังสนับสนุนแนวทางแข็งกร้าวของทรัมป์ต่อจีน แต่ไม่วายวิจารณ์อดีตพิธีกรเรียลลิตี้โชว์ผู้นี้ว่า ไม่พยายามมีปฏิสัมพันธ์กับเอเชียมากพอ แถมบ่อนทำลายความสัมพันธ์กับพันธมิตรสำคัญอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

เมื่อไม่กี่วันมานี้ แคมป์เบลล์ยังเขียนบทความลงในนิตยสาร “ฟอเรนจ์ แอฟแฟร์ส” เกี่ยวกับความจำเป็นที่อเมริกาจะต้องเกี่ยวดองกับเอเชียใหม่ และสร้างแนวร่วมและกลุ่มพันธมิตร “เฉพาะกิจ” เพื่อรักษาระเบียบเดิมที่กำลังถูกจีนคุกคาม

ความท้าทายใหญ่ที่สุดสำหรับแคมป์เบลล์อาจเป็นการหาวิธีปรับเทียบความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานกับปักกิ่งในระดับที่สามารถส่งเสริมเป้าหมายของไบเดนในการร่วมมือแก้ปัญหาต่างๆ ของโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ควบคู่กับการดำเนินนโยบายเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของจีน

เดือนที่แล้ว แคมป์เบลล์วิจารณ์ว่า “ตั๋วชมเกมสำคัญ” ในเอเชียของวอชิงตันคือ การมีทหารประจำการอยู่ในภูมิภาคนี้และมีความสามารถในการยับยั้งความท้าทายต่อ “ระบบปฏิบัติการปัจจุบัน” ซึ่งหมายถึงความพยายามของจีนในการตั้งตนเป็นมหาอำนาจเอเชีย

เขาทิ้งท้ายว่า อเมริกาต้องแสดงวิสัยทัศน์สำหรับระบบการค้าที่เปิดกว้าง ร่วมมือกับพันธมิตร และปิดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงสิ่งที่จำเป็นสำหรับการรักษาความได้เปรียบ เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) หุ่นยนต์ หรือเครือข่าย5จี
กำลังโหลดความคิดเห็น