xs
xsm
sm
md
lg

หมัดต่อหมัด 3 หุ้นบิ๊กโรงไฟฟ้าอนาคต “ใคร” จะก้าวได้ไกลกว่า?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



กางศักยภาพ 3 บิ๊กหุ้นโรงไฟฟ้า “บี.กริม เพาเวอร์-กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์-โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่” GULF นำโด่งมาร์เกตแคปทะลุ 4 แสนล้านบาท และโรงไฟฟ้าที่เพิ่งเปิดดำเนินการใหม่อนาคตดูสดใส ขณะ BGRIM เดินหน้าขยายงานต่อเนื่องทั้งลงทุนเพิ่มและซื้อกิจการ วางงบปีนี้ 2 หมื่นล้านบาท อีกทั้งมีงานใหม่ต่อเนื่อง ส่วน GPSC ภาระดอกเบี้ยลดหลังรีไฟแนนซ์หนี้ โครงการใหม่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบดันรายได้พุ่ง แถมนำงบ GLOW รวมเข้าเต็มปี ดันผลงานพุ่ง โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” เชื่อนักลงทุนเก็บเข้าพอร์ตเพราะหวังหาที่หลบภัยในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนหนัก

ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าอยู่ในแดนบวกเสมอๆ และหลังตลาดหุ้นผันผวนจะพบว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้ขยับเพิ่มยกแผง โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาหุ้นของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) พุ่งแรงกว่า 9.32% อยู่ที่ระดับ 193.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 16.50 บาท และ บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เพิ่มขึ้น 3.90% มาอยู่ที่ระดับ 60.00 บาท รวมทั้ง บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เพิ่มขึ้น 2.13% มาอยู่ที่ระดับ 95.75 บาท และราคายังคงเป็นสีเขียวต่อเนื่องมา

และเช้าวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมาพบว่าหุ้น 3 ตัวที่กล่าวมายังคงเป็นหุ้นนำตลาดมีมูลค่าการซื้อขาย 10 อันดับแรก นำโดย GPSC, GULF และ BGRIM ขณะที่ราคาหุ้นเมื่อ 14 มกราคมที่ผ่านมาพบว่า GPSC ปิดที่ 96 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 1.04 %, GULF อยู่ที่ 194 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 0.78% และ BGRIM อยู่ที่ 60.50 บาท ลดลง 12.50 บาท หรือ 4.17% และเพราะหุ้นแต่ละตัวนี้มีมาร์เกตแคปสูง เมื่อราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงย่อมกระทบต่อการซื้อขายในกระดานอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเปรียบเทียบมาร์เกตแคปจะพบว่า GULF มีมาร์เกตแคป 4.16 แสนล้านบาท GPSC มาร์เกตแคป 2.73 แสนล้านบาท และ BGRIM มาร์เกตแคป 1.63 แสนล้านบาท ซึ่งเรียกได้ว่าแต่ละบริษัทมาร์เกตแคปสูงลิ่ว โดยเฉพาะ GULF ต้องยอมรับว่าเป็นหุ้นโรงไฟฟ้ามีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในตลาดหุ้นไทยวันนี้ นับจากช่วงที่เข้าตลาดซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาทเท่านั้นเอง ขณะราคาไอพีโอกำหนดไว้ที่หุ้นละ 45 บาท และโบรกเกอร์หลายค่ายประเมินว่าตัวเลขกำไรของ GULF จะไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาทถือว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปี 61 เลยทีเดียว แถมยังคาดว่าผลการดำเนินงานในอนาคตยังคงเห็นการเติบโตได้อีก ผ่านทางการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ จนต้องปรับราคาเป้าหมายพุ่งขึ้นเป็น 200 บาท จะว่าไปก็เหลืออัปไซด์จากราคาปัจจุบันไม่เยอะ แต่เชื่อกันว่าราคาหุ้น GULF ทะลุเกิน 200 บาทแน่นอน จากแนวโน้มที่เป็นอยู่

ทั้งนี้ การที่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานเขียวยกแผงช่วงนี้มี ปัจจัยหนุนทำให้ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าพุ่งต่อเนื่อง เพราะสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมานานและภาพรวมยังคงซึมๆ อีกทั้งสงครามระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน ทำให้นักลงทุนมองหาหุ้นที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นแรง ที่สำคัญคือส่วนกำไรจากสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าหรือที่เรียกว่าค่าความพร้อมจ่าย (AP) ซึ่งปกติโรงไฟฟ้าจะได้ค่า AP อยู่แล้ว หากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีการเรียกไฟจากโรงไฟฟ้าเอกชนก็จะส่งผ่านต้นทุนไปยัง กฟผ.

GULF-BGRIM เป็น Top pick กลุ่ม


นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง กล่าวว่า หุ้น GULF ที่ราคาพุ่งแรงน่าจะเกิดจากปัจจัยหนุนที่ช่วยกระตุ้นการลงทุนในกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า ขณะที่ GULF ก็ยังมีอัปไซด์ต่อประมาณการกำไรในระยะยาวและราคาเป้าหมายของเราอีกมาก หากรวมโครงการท่าเรือน้ำลึกและโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ (LNG) ในประเทศเวียดนาม โดยยังคงแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 200 บาท และเป็น Top pick สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า

โดยมองว่าการปรับขึ้นของราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้ารอบนี้ไม่ต่างจากที่ประเมินไว้ โดยเชื่อว่าหุ้นโครงสร้างพื้นฐานอย่างโรงไฟฟ้าอย่างไรก็ต้องปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพราะได้ปัจจัยหนุน 2 ต่อในปีนี้ ส่วนหนึ่งจะได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนด้านพลังงาน เช่น ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นตามไปด้วย และส่งผลให้โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) ที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติอย่าง GULF, EGCO และ RATCH ที่อาจต้องส่งผ่านเรื่องต้นทุนไปยังค่าไฟฟ้าให้ปรับตัวสูงขึ้นได้

ขณะที่ถัดมาคือส่วนกำไรจากสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าหรือที่เรียกว่าค่าความพร้อมจ่าย (AP) ซึ่งปกติโรงไฟฟ้าจะได้ค่า AP อยู่แล้ว หากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีการเรียกไฟจากโรงไฟฟ้าเอกชนก็จะส่งผ่านต้นทุนไปยัง กฟผ.ด้วย

"คิดว่าช่วงต้นปีนี้น่าจะยังเป็นโอกาสทองของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าอยู่ เนื่องจากปัจจัยที่ยังสนับสนุนและราคาที่ปรับตัวขึ้นแรงมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ โดยมองว่ายังเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนอยู่ พร้อมเลือกให้ GULF และ BGRIM เป็น Top pick ของกลุ่ม"

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล. เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่นักลงทุนหันมาซื้อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นโดยรวมที่ยังมีความเสี่ยงอยู่และยังไม่มีกลุ่มหุ้นที่โดดเด่นเป็นพิเศษ จึงทำให้มีตัวเลือกในการลงทุนไม่มากนัก ประกอบกับโรงไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่มีกำไรสม่ำเสมอและมีปัจจัยเฉพาะตัวจากโครงการใหม่ๆ ที่จะรับรู้เข้ามามากขึ้น จึงทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้ากันจำนวนมาก

GPSC เด่นสุดหลังรวมงบ GLOW

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เอเซียพลัส ระบุว่า จากภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมที่ชะลอตัว ทำให้นักลงทุนมองหาหุ้นที่ปลอดภัย ดังนั้นหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าโดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น GULF, GPSC, BGRIM, EGCO, RATCH ซึ่งถือเป็นหุ้น Defensive มีรายได้ที่ค่อนข้างมั่นคงแน่นอนไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจจึงได้รับความสนใจลงทุนกันอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงปัจจุบัน

ส่งผลให้ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าเกือบทุกตัวในกลุ่มเต็มมูลค่าพื้นฐานที่ฝ่ายวิจัยกำหนดไว้ที่ได้รวมมูลค่าทุกโครงการที่มีอยู่ในมือซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแน่นอนไปหมดแล้ว (แต่สำหรับโครงการลงทุนใหม่ที่อยู่ระหว่างการศึกษายังไม่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้านั้น จะถือเป็น Upside ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ) ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับคำแนะนำของฝ่ายวิจัย ASPS ที่แนะนำเข้าซื้อหุ้น BGRIM และ GPSC ในช่วงที่ผ่านมา จนให้ผลตอบแทนในระดับที่ดี

ดังนั้น แนะนำลงทุน ในช่วงสั้นหากนักลงทุนมีหุ้นอยู่แล้วอาจจะถือไปก่อนแล้วรอหาจังหวะขายทำกำไร แต่หากนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นแนะนำให้รอราคาหุ้นปรับฐานแล้วค่อยเข้าลงทุนจะปลอดภัยกว่า โดยยังเลือก GPSC และ BGRIM เป็นหุ้นน่าลงทุนระยะยาว

บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สระบุว่า แนวโน้มกำไรปี 63F ของ GPSC คาดว่าจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะทำงบการเงินรวมกับ GLOW เต็มปี และโรงไฟฟ้าที่เพิ่งเปิดดำเนินการใหม่ในไตรมาส 4 ปี 62 ก็เข้ามาเต็มปี 63 ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น ภาระดอกเบี้ยจ่ายปี 63 จะลดลงราว 30% เทียบปีก่อน หลังออกหุ้นกู้ 3.5 หมื่นล้านบาท เพราะต้นทุนการเงินเฉลี่ยต่ำลงเป็น 2.9% ขณะที่โรงงานกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) อยู่ระหว่างศึกษาและหาพันธมิตรต่างประเทศเข้ามาร่วมทุน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ Energy Storage เป็นแผนกลยุทธ์ของบริษัท จึงแนะนำ ซื้อ GPSC โดยให้ราคาพื้นฐาน 103 บาท (SOP) ทั้งนี้ เชื่อว่าบริษัทจะมี Synergies หลังซื้อกิจการ GLOW และมีโอกาสเติบโตไปตามกลุ่ม PTT โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC

โดย บล.ดีบีเอสฯ แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 103 บาท/หุ้น ทั้งนี้มองจาก GPSC เป็นผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใหญ่สุดของไทย หลังซื้อ GLOW แล้วมีส่วนแบ่งการตลาด 15% ของประเทศ กำลังการผลิตไฟฟ้า 5,026 MW บริษัทมีสัดส่วนโรงไฟฟ้า IPP/SPP/VSPP/ พลังงานทดแทน เท่ากับ 48%/44%/3%/5% ซึ่งโครงการ Energy Recovery Unit (ERU) มูลค่า 895 ล้านดอลลาร์จะเริ่มผลิตได้ใน 3Q66 กำลังผลิตไฟฟ้า 250MW และไอน้ำ 175 ตัน/ชั่วโมง ซึ่งโครงการนี้จะจ่ายไฟให้กับ TOP คาด IRR โครงการ 8-9% คาดจะประหยัดต้นทุนหลังซื้อ GLOW และทำให้ EBITDA เพิ่มราว 1.6 พันล้านบาทในปี 67

โดยให้จับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งในลาวต่อการผลิตไฟฟ้าที่เขื่อนน้ำลิกและไชยะบุรี ซึ่งผู้บริหาร GPSC ระบุว่ามีผลกระทบไม่มากนับตั้งแต่เริ่มผลิตในไตรมาส 4 ปี 62 และคาดว่าปัญหาภัยแล้งจะดีขึ้นในไตรมาสแรกปี 63 ขณะโรงไฟฟ้าก๊าซที่พม่า ซึ่ง GPSC ร่วมทุนกับ PTTEP และ PTT กำลังผลิตไฟฟ้า 600 MW รอการอนุมัติจากทางการพม่า ซึ่ง GPSC มีโอกาส เพราะ ERU เป็นโรงไฟฟ้าแรกของอาเซียนที่ใช้วัตถุดิบจาก Pitch ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าแบบนี้ในนอร์เวย์และฟินแลนด์เท่านั้น บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโครงการ แต่ยังไม่ได้หารือกับกลุ่ม PTT ซึ่งข้อกังขาของนักลงทุนมักกังวลกับปริมาณสำรองก๊าซในอ่าวไทยที่เหลือต่ำกว่า 3 ปี แต่ PTTEP ได้ลงทุนสำรวจและผลิตก๊าซในแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติมต่อเนื่อง ทำให้ความเสี่ยงเรื่องนี้จำกัด ส่วนปัญหาภัยแล้งในลาวและภาคเหนือของไทยจะกระทบหรือไม่นั้น บริษัทคาดว่าปัญหาภัยแล้งในลาวจะดีขึ้นในปี 63 และแม้ว่าการผลิตของโรงไฟฟ้าน้ำลิก, ไชยะบุรี, ห้วยโฮ ในปี 62 จะน้อยเพราะภัยแล้งแต่ก็ยังสูงกว่าการันตีขั้นต่ำ

บทเคราะห์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป คาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของ GPSC จะเติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 22% ในช่วง 3 ปี (20-22E) โดยที่บริษัทเป็นผู้นำโรงไฟฟ้า SPP (ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก) ของไทย นอกจากนี้กำไรของบริษัทจะเติบโตอย่างมั่นคงขึ้น เนื่องจากผลประโยชน์จากการเข้าซื้อ GLOW รวมถึงการขายไฟเชิงพาณิชย์ของไชยะบุรี ซึ่งโดยรวมแล้วจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเติบโตสูงกว่า 3 เท่าตัว ที่ 4.7 GWe และการที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็น PTT ช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายกิจการทั้งในและต่างประเทศ แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 98 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น